หากวันนี้คุณนั้นสงสัยว่าทำไมคนร ว ยเขาถึงร ว ยขึ้น ทุกๆ วัน และทำไมคนจนถึงยังจนอยู่เหมือนเดิม วันนี้เราก็มีบทความที่อย ากจะนำเสนอคุณเกี่ยวกับ 10 ความคิดที่แตกต่าง ของคนร ว ย กับ คนจน ไปดูกันว่าเป้าหมายของคนร ว ยและคนจนนั้นต่างกันอย่ างไรบ้าง
ผมได้อ่ า นหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องความแตกต่างที่โดดเด่น 10 ข้อระหว่างคนร ว ยกับคนจน และเห็นว่ามันมีความเป็นจริงอยู่พอสมควร จากการสังเกตของผม ดังนั้นจึงขอนำมาเผยแพร่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราอยู่ด้านไหนของสังคมและต้องทำอย่ างไรถึงจะได้ย้ายจากคนจน คนชั้นกลาง สู่การเป็นคนร ว ย
1 คนร ว ย ชอบตั้งคำถามที่เป็นบวก และสร้างกำลังใจ
คนจนและคนชั้นกลาง ชอบตั้งคำถามที่เป็นลบ และบั่นทอนกำลังใจคนร ว ยมักจะคิดว่าฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่ างไร ?, ในวิกฤตครั้งนี้มีโอ กาสอะไรซ่อนอยู่บ้าง ? ฯลฯ ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางมักจะคิดว่า ทำไมเรื่องแย่ ๆ ถึงต้องมาเกิดกับฉันด้วย,โอ กาสของคนเราไม่เท่ากัน เป็นเพราะฉันเกิดมาจน ฯลฯ
2 คนร ว ย คิดย าว
คนชั้นกลาง คิดสั้นคนจน คิดสั้นที่สุดคนจนมักจะคิดอะไรแบบวันต่อวัน ทำนองหาเช้ากินค่ำคนชั้นกลางมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออ ก แต่คนร ว ยจะต้องคิดย าวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปีในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอ ดเป็นหลักในขณะที่คนชั้นกลาง คิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า
ส่วนคนร ว ยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงินการคิดย าวนั้นมีพลังมหาศาลเพราะมันจะทำให้เขาอ ดออมและลงทุนระยะย าว ซึ่งจะทำให้เงินงอ กเงยแบบทบต้นเป็นเวลานานและนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง
3 คนร ว ยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย
คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่นนี่ไม่ได้หมายความว่าคนร ว ยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่า คนร ว ยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจน และมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลาง
และคนจนเบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่าคนร ว ยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจน ซึ่งมักจะชอบ ‘ซุบซิบนินทา’ เป็นนิจสินในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น
4 คนร ว ย ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
คนจนและคนชั้นกลาง ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงคนชั้นกลางรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชินในขณะที่คนร ว ยนั้นคิดว่า การเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่าเขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้น มักมีโอ กาสที่เขาอาจจะคว้าไว้ได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจาก การที่คนร ว ยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้
5 คนร ว ยกล้ารับความเสี่ยง ( ที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว )
คนจนและคนชั้นกลาง กลัวที่จะรับความเสี่ยงนี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อน มากที่สุด ของคนจนและคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้น มักพลาดที่จะได้รับผลตอบแทนดี ๆ โดยสิ้นเชิง ส่วนคนที่กล้ารับความเสี่ยง ( ที่ได้มีการศึกษา-วิเคราะห์ มาเป็นอย่ างดี ) จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยความเสี่ยงจริง ๆนั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่ างที่เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้น
หรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของร า ค า โดยที่เขาไม่พย าย ามศึกษาว่าในระยะย าวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมากในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่ าง ‘บ้าบิ่น’ เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวัน ก็ไม่ใช่นิสัยของคนร ว ยคนร ว ยนั้นจะต้องรับความเสี่ยง เฉพาะที่มีการพิจารณาอย่ างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น
6 คนร ว ย เรียนรู้และเติบโตตลอ ดชีวิต
คนจนและคนชั้นกลาง คิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียนนิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเ ศ ร ษ ฐีจริง ๆเพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียน เป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้
และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นย าวมากเป็นหล า ยสิบปีดังนั้นความรู้ส่วนใหญ่จึงควรเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้คนร ว ยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่ า น หรือ การหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ
ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นพอเรียนจบ ก็มักจะไม่สนใจอ่ า นหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆและความรู้ที่ผมคิดว่าคนจนและคนชั้นกลางพลาดไป เพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือความรู้ทางด้านการเงินที่คนร ว ยมักจะศึกษาต่อ เพราะเห็นถึงความสำคัญ และอาจนำไปสู่ความมั่งคั่งได้
7 คนร ว ย ทำงานเพื่อหากำไร
คนจนและคนชั้นกลาง ทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้างคนร ว ยมองว่า นี่คือหนทางที่จะทำให้ร ว ยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยง และอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าจึงมุ่งไปที่การหางานที่มีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะร ว ยได้
8 คนร ว ยเชื่อว่า พวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน
คนจนและคนชั้นกลางคิดว่า พวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญข้อนี้ผมคงไม่มีความเห็นอะไรส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอ กหรือรู้กัน
ยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่ างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกตส์ความเห็นของแอ ดมิน = สำหรับเมืองไทย แอ ดคิดว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนใจบุญนะ ‘มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก’ เพราะเราถูกปลูกฝังให้รู้จักทำบุญมาหล า ยชั่ วอายุคนแล้วจึงไม่เกี่ยวกับความร ว ยความจนหรอ กครับ เป็นนิสัยส่วนบุคคลล้วน ๆ )
9 คนร ว ย มีแหล่งรายได้หลากหล า ย
คนจนและคนชั้นกลาง มีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่งข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนร ว ยมีรายได้จากหล า ยแหล่งเพราะร ว ยแล้วจึงไปลงทุนในท รั พ ย์สินหล า ย ๆ อย่ าง หรือมีท รั พ ย์สินหล า ยอย่ างจึงทำให้ร ว ย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้นมักไม่ลงทุนในท รั พ ย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก
10 คนร ว ย เน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่ง
คนจนและคนชั้นกลาง เน้นการเพิ่มของเงินเดือนเป้าหมายของคนร ว ยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น มากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น โดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษีแต่คนชั้นกลางพย าย ามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่า เขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือคนร ว ยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง
และนั่นก็คือความแตกต่าง 10 ข้อ ระหว่างคนร ว ย คนจน และคนชั้นกลาง ที่มีคนตั้งข้อสังเกตไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นจริงแน่นอนคนร ว ยบางคนก็มีคุณสมบัติที่เป็นแบบคนชั้นกลาง และคนชั้นกลางจำนวน มากก็มีนิสัยแบบคนร ว ยแต่ถ้าเราอย ากร ว ย ผมคิดว่าการยึดนิสัยแบบคนร ว ย น่าจะทำให้เรามีโอ กาสมากกว่า
ที่มา yimlamun